บริษัท ศรีราชพฤกษ์ จำกัด

บริษัท ศรีราชพฤกษ์ จำกัด หรือ ที่ชาวต่างชาติรู้จักกันในนาม Awacs Corp.
ถูกก่อตั้งมาในปี 2526 โดย ตลอดเวลา 41 ปี เรามุ่งพัฒนา
สเตนเลสเลสคุณภาพสูงสู่สังคมไทย

ข่าวสารและกิจกรรม

สมอ.คุมนำเข้าเหล็กด้อยคุณภาพ ก.อุตฯ หวั่นกระทบความปลอดภัย Posted By: maliwan

NEW

ก.อุตสาหกรรม หนุน สมอ. เร่งสกัดเหล็กด้อยคุณภาพนำเข้าจากต่างประเทศ หลังบอร์ดกมอ.ไฟเขียวสั่งควบคุมเหล็กเคลือบ และกำหนดมาตรฐานเพิ่ม ทะลุกว่า 1,400 เรื่อง วันนี้ (23 ก.ค.267) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์เหล็กในประเทศอย่างใกล้ชิด พบว่ามีการนำเข้าเหล็กเคลือบ ทั้งเคลือบสังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม และเคลือบสี ที่มีราคาถูกจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหล็กที่มีคุณภาพต่ำ และไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็กเคลือบภายในประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขายสินค้าได้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังส่งผลถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่นำเหล็กเคลือบดังกล่าวไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เร่งดำเนินการควบคุมเหล็กเคลือบทุกประเภทที่จำหน่ายในท้องตลาดโดยเร็ว เพื่อสกัดกั้นเหล็กเคลือบที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและอุตสาหกรรมภายในประเทศ นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า หลังจากบอร์ดกมอ.มีมติเห็นชอบให้ สมอ. ควบคุมผลิตภัณฑ์เหล็กจำนวน 4 มาตรฐาน ได้แก่เหล็ก PPGI หรือ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนและเคลือบสี เหล็ก PPGL หรือ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนและเคลือบสี เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม 5% ขึ้นไป และแมกนีเซียม 2% ขึ้นไป โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน และ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม 0.5% ขึ้นไป และแมกนีเซียม 0.4% ขึ้นไป โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรฐานอื่น ๆ อีก จำนวน 122 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานปูนซิเมนต์ไฮดรอลิก เครื่องซักผ้า เครื่องสูบของเหลว เต้ารับเต้าเสียบสำหรับงานอุตสาหกรรม ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระบบบันทึกการขับขี่รถยนต์ น้ำยางข้นธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์จากขยะชีวภาพ ถั่วลันเตากระป๋อง และมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ รวมทั้ง เห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปีนี้อีกจำนวน 192 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานเครื่องดับเพลิงแบบยกหิ้วชนิดฮาโลคาร์บอน เจลกันยุงนาโน ชุดทดสอบฟอร์มาลินแบบกระดาษ และกันชนหรือชิ้นส่วนที่ป้องกันอุปกรณ์ด้านหน้าและด้านหลังยานยนต์ เป็นต้น รวมเป็นมาตรฐานที่ สมอ. ตั้งเป้าจัดทำในปีนี้ จำนวน 1,450 มาตรฐาน ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวว่า สมอ. ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้หารือร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเหล็กทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหลังจากที่บอร์ดมีมติเห็นชอบมาตรฐานเหล็กเคลือบทั้ง 4 มาตรฐาน แล้ว สมอ. จะเร่งดำเนินการให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ปัจจุบัน สมอ. ประกาศใช้มาตรฐานเหล็กจำนวน 213 มาตรฐาน เป็นสินค้าควบคุมจำนวน 22 มาตรฐาน และเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจจำนวน 191 มาตรฐาน นอกจากการดูแลประชาชนและอุตสาหกรรมในประเทศแล้ว ด้านการค้าระหว่างประเทศ สมอ. ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะทำงานด้านอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า ภายใต้การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ได้แจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการส่งออกเหล็กของไทยได้ทราบถึงความคืบหน้าของมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)ซึ่งเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมจาก ผู้นำเข้าสินค้าที่เข้ามาใน EU สินค้า สำหรับสินค้า 6 กลุ่มแรกที่มีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูงในกระบวนการผลิต ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ ปุ๋ย อลูมิเนียม ไฟฟ้าและไฮโดรเจน โดยในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลปริมาณสินค้าที่นำเข้าและการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และตั้งแต่วันที่ 1ม.ค. พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับให้ผู้นำเข้าต้องรายงานตามปริมาณจริงของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต ทั้งนี้ สมอ. อยู่ระหว่างการหารือกับผู้แทน EU เพื่อให้ยอมรับรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่ออกโดยหน่วยตรวจสอบความใช้ได้และทวนสอบก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง สมอ. จะแจ้งความคืบหน้าของการหารือดังกล่าวให้ผู้ประกอบการทราบเป็นระยะ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการดังกล่าว แหล่งที่มา.Thai PBS

อ่านต่อ

สงครามการค้ารอบใหม่ สหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีน 14 รายการ แนะไทยเร่งปรับตัว.

NEW

สนค. เผยสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีกับสินค้าจีนจำนวน 14 รายการ รวมมูลค่าทั้งหมด 168.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าสงครามการค้ารอบใหม่จะกระทบเศรษฐกิจการค้าโลกและไทยบ้าง พร้อมแนะแนวทางรับมือและใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลง วันที่ 14 มิถุนายน 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐประกาศขึ้นภาษีกับสินค้าจีน มีจำนวน 14 รายการ ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ และกระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยาและส่วนประกอบของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับรถยนต์ EV และรถยนต์ที่ไม่ใช่รถยนต์ EV กราไฟต์ธรรมชาติ แร่ธาตุสำคัญ แม่เหล็กถาวร เครนขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์หน้าท่า เหล็กและอะลูมิเนียม หน้ากาก และถุงมือยางชนิดที่ใช้ทางการแพทย์ โดยในปี 2566 สหรัฐนำเข้าสินค้าในรายการข้างต้นรวมมูลค่าทั้งหมด 168.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากจีนมูลค่า 18.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 11.2% ขณะที่นำเข้าจากไทยมูลค่า 7.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 4.3% สำหรับสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง มี 4 รายการสินค้า ได้แก่ โซลาร์เซลล์ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็กและอะลูมิเนียม และถุงมือยาง คาดเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กและอะลูมิเนียม และถุงมือยางไทยได้ประโยชน์ สนค. คาดว่าสงครามการค้ารอบใหม่ จะยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจการค้าโลกในภาพรวม อีกทั้งจะต้องติดตามการดำเนินการของจีนที่อาจตอบโต้สหรัฐ อย่างไรก็ดี ไม่น่าจะมีผลกระทบที่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในปี 2561 ที่ส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมูลค่าการค้าโลกหดตัวอย่างชัดเจนในปี 62 (GDP ไทย ปี’62 ชะลอตัวเหลือ 2.1% จาก 4.2% ทั้งในปี’60 และปี’61 และการส่งออกไทยปี’62 หดตัว 2.6% จากขยายตัว 9.9% และ 6.9% ในปี’60-61)ไทยได้อานิสงส์ ทั้งนี้ สินค้าที่ไทยอาจได้อานิสงส์ในการส่งออกทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็กและอะลูมิเนียม และถุงมือยาง นอกจากนี้ คาดว่าไม่น่าจะมีผลต่อรถยนต์ไฟฟ้าของไทย เพราะกลุ่มลูกค้าของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอยู่ในอาเซียนและโอเชียเนีย ขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือสินค้าที่สหรัฐจับตา อย่างเช่น โซลาร์เซลล์ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐจะเฝ้าระวังการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและกำลังการผลิตส่วนเกินจากประเทศในอาเซียน จากสถิติการค้าปี’66 พบว่าสหรัฐเป็นผู้นำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ถุงมือยาง และโซลาร์เซลล์รายใหญ่เบอร์ 1 ของโลก และนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์สูงที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก และเมื่อพิจารณาตัวเลขการนำเข้าของสหรัฐ พบว่า สหรัฐนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ส่วนใหญ่มาจากประเทศในอาเซียนและเอเชียตะวันออก โดยจีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 5 มูลค่าการนำเข้า 2,322 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 5.6% ของมูลค่าการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดของสหรัฐ) หดตัว 29.6% ไทยแหล่งนำเข้าอันดับ 6 ขณะที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 6 มูลค่าการนำเข้า 1,960 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 4.7%) หดตัว 10.0%ซึ่งถือว่าดีกว่าการเติบโตของการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดของสหรัฐที่หดตัว 15.1% นอกจากนี้ การเติบโตเฉลี่ยของมูลค่าการนำเข้าจากไทยในช่วงปี’60-66 ขยายตัวถึง 13.6% ขณะที่การเติบโตเฉลี่ยของมูลค่าการนำเข้าจากจีนและมาเลเซีย (แหล่งนำเข้าอันดับ 1) หดตัว 6.0% และ 3.9% ตามลำดับ แหล่งนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมส่วนใหญ่ของสหรัฐ มาจากประเทศในอเมริกาเหนือและเอเชียตะวันออก สำหรับจีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 8 มูลค่าการนำเข้า 1,681 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 3.2%) หดตัว 32.8% ขณะที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 17 มูลค่าการนำเข้า 680 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 1.3%) หดตัว 31.3% อย่างไรก็ดี การเติบโตเฉลี่ยของมูลค่าการนำเข้าจากไทยในช่วงปี’60-66 ขยายตัวถึง 9.7% ขณะที่การเติบโตเฉลี่ยของมูลค่าการนำเข้าจากจีนและเวียดนาม (แหล่งนำเข้าอันดับ 14) อยู่ที่ -8.1% และ 2.5% ตามลำดับ แหล่งนำเข้าถุงมือยางส่วนใหญ่ของสหรัฐมาจากประเทศในอาเซียนและจีน โดยจีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย มูลค่าการนำเข้า 398 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 24.9%) หดตัว 22.0% ขณะที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 3 มูลค่าการนำเข้า 360 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 22.5%) หดตัว 22.8 ซึ่งถือว่าดีกว่าการเติบโตของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐ และมาเลเซียที่หดตัวร้อยละ 37.3 และ 46.7 ตามลำดับ สำหรับแหล่งนำเข้าโซลาร์เซลล์ส่วนใหญ่ของสหรัฐมาจากประเทศในอาเซียน โดยการนำเข้าจาก 4 ประเทศอาเซียน (เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และกัมพูชา) คิดเป็นสัดส่วน 75.2% สำหรับจีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 17 ซึ่งสัดส่วนการนำเข้าต่ำกว่า 1% ขณะที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 2 มูลค่าการนำเข้า 4,150 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วน 21.5%) ขยายตัว 158.5% ซึ่งถือว่าดีกว่าการเติบโตของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐและเวียดนาม (แหล่งนำเข้าอันดับ 1) ที่ขยายตัว 87.5% และ 44.2% ตามลำดับ ที่ผ่านมา การค้าสหรัฐ-จีนลดลงชัดเจน และนำเข้าสินค้าทดแทนจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้นมูลค่าการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ จากจีนหดตัว 16.6% ในปี’62 แม้ต่อมามีการขยายตัวในบางปี แต่การนำเข้ากลับมาหดตัวสูงอีกครั้งที่ 20.3% ในปี’66 และส่วนแบ่งตลาดของจีนในสหรัฐลดลงถึง 7.7% ในช่วงปี’60-66 ทั้งนี้ ในปี’66 จีนเสียตำแหน่งแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของสหรัฐ ที่ยาวนานต่อเนื่อง 14 ปี ให้แก่ เม็กซิโก ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าของจีนจากสหรัฐ หดตัว 20.8% ในปี’62 แม้ต่อมาการนำเข้ามีการขยายตัวในปี’63-64 แต่การนำเข้าจากสหรัฐ กลับมาหดตัว 0.4% และ 6.5% ในปี’65-66 และส่วนแบ่งตลาดของสหรัฐ ในจีน ลดลง 1.9% ในช่วงปี’60-66 ไทยได้อานิสงส์ในการขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐ และส่งสินค้าทดแทนในสองประเทศในช่วงปี’62-66 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งที่ผ่านมาไทยเป็นฝ่ายเกินดุลกับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกไปจีนขยายตัวในบางปี ทั้งนี้ หลังการเกิดสงครามการค้า (ปี’60-66) ส่วนแบ่งตลาดของไทยในตลาดสหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 1.3% เป็น 1.8% โดยสินค้าไทยที่สามารถส่งออกทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ของใช้ในบ้านและสำนักงาน สิ่งพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ และส่วนประกอบของยานยนต์ ขณะที่สินค้าไทยที่สามารถส่งออกทดแทนสินค้าสหรัฐ ในตลาดจีน อาทิ ของใช้ในบ้านและสำนักงาน สิ่งพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ และคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แนะช่วงชิงโอกาส สนค. แนะแนวทางรับมือและช่วงชิงโอกาสจากสงครามการค้า โดย (1) ช่วงชิงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลง โดยเร่งขยายการค้าและการส่งออก จากที่สหรัฐ มีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ทดแทนจีน เร่งดึงดูดการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย และเร่งดึงดูดคนเก่งที่ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งรวมถึงการดึงดูดคนเก่งที่มีแนวโน้มออกจากจีน (2) รับมือกับผลกระทบ เชิงลบที่อาจเกิดขึ้น โดยติดตามสถานการณ์แนวโน้มทางการค้าของประเทศคู่ค้าที่อาจส่งผลต่อการค้าไทย ดำเนินมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในกรณีที่มีสินค้าราคาถูกไหลทะลักเข้ามาในประเทศอย่างเหมาะสม และลดความผันผวนทางการค้าและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยกระจายตลาดส่งออกและเพิ่มความหลากหลายของแหล่งนำเข้า (3) ปรับตัวตามทิศทางแนวโน้มโลก โดยการปรับตัวให้สอดรับกับการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการยึดโยงอุตสาหกรรมสำคัญของสหรัฐ และจีน อาทิ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสหรัฐ และจีน ตลอดจนประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐ และเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานสำคัญกับสหรัฐ และจีน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์) ยานยนต์สมัยใหม่ และพลังงานสะอาด ปรับโครงสร้างสินค้าด้วยการผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีความซับซ้อนและมีมูลค่าเพิ่มสูง ปรับกลยุทธ์การส่งออกของไทย ด้วยการเปิดตลาดใหม่ และขยายการส่งออกในตลาดจีน ปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงอำนวยความสะดวกทางการค้า และปรับตัวสำหรับระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะประเด็นด้าน ESG (4) ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาแรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป้าหมาย รวมถึงพัฒนาทักษะด้านภาษา พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ทั้งการผลิต การค้า และการลงทุน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา รวมถึงส่งเสริมการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิต พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในประเทศ ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าส่งออก และเป็นการปกป้องผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับต่างประเทศ รวมถึงส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่งเพื่อขยายการค้าและการลงทุน และจัดทำและปรับปรุงความตกลงทางการค้าเพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าและการลงทุน รวมถึงเร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์จากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งระดับภูมิภาคและ อนุภูมิภาค เพื่อใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนที่มีแนวโน้มย้ายสู่อาเซียนมากขึ้น   อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :ประชาชาติธุรกิจ

อ่านต่อ