บริษัท ศรีราชพฤกษ์ จำกัด

บริษัท ศรีราชพฤกษ์ จำกัด หรือ ที่ชาวต่างชาติรู้จักกันในนาม Awacs Corp.
ถูกก่อตั้งมาในปี 2526 โดย ตลอดเวลา 41 ปี เรามุ่งพัฒนา
สเตนเลสเลสคุณภาพสูงสู่สังคมไทย

ข่าวสารและกิจกรรม

ส่อง 5 อุตสาหกรรมมาแรงและทำเลทองที่ต่างชาติย้ายฐานผลิตมาไทยมากสุด BOI เผย คำขอลงทุน 9 เดือน พุ่ง 7.2 แสนล้านบาท ทุบสถิติรอบ 10 ปี

NEW

BOI เผย 9 เดือนแรกปีนี้ ไทยรับอานิสงส์ต่างชาติแห่ย้ายฐานผลิต ยอดคำขอรับการส่งเสริมลงทุนพุ่ง 720,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยยอดส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทุนสิงคโปร์ครองอันดับ 1 ตามด้วยจีนและฮ่องกง ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ‘เซมิคอนดักเตอร์ – PCB – Data Center – EV – พลังงานหมุนเวียน’ ชี้ทำเลทองส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2567) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี “คำขอลงทุนสะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ จำนวนมาก เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) Data Center ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน” นอกจากนี้รัฐบาลยังเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในห้วงเวลาสำคัญที่มีกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ กลไกจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ และการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก  อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 183,444 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ดิจิทัล มูลค่า 94,197 ล้านบาท, ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 67,849 ล้านบาท, เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 52,990 ล้านบาท, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 34,341 ล้านบาท โดยกิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กิจการ Data Center จำนวน 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท โดยมีการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน, ออสเตรเลีย, จีน, ฮ่องกง และอินเดีย กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,856 ล้านบาท กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 55 โครงการ เงินลงทุนรวม 61,302 ล้านบาท กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ จำนวน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,973 ล้านบาท กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง จำนวน 117 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,515 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 351 โครงการ เงินลงทุนรวม 85,369 ล้านบาท สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% ทั้งนี้ 5 ประเทศ / เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 180,838 ล้านบาท, จีน 114,067 ล้านบาท, ฮ่องกง 68,203 ล้านบาท, ไต้หวัน 44,586 ล้านบาท และญี่ปุ่น 35,469 ล้านบาท “มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Data Center นำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย” ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 408,737 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 220,708 ล้านบาท, ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท, ภาคใต้ 25,039 ล้านบาท, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23,777 ล้านบาท และภาคตะวันตก 8,812 ล้านบาท นอกจากนี้การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 27,318 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 672,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่างๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1-3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม “ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่สิ่งที่ BOI ให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขเม็ดเงินลงทุนคือคุณภาพของโครงการและประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับ ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะเวลาสำคัญของประเทศไทยที่จะสามารถสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจาก BOI ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 170,000 คน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 800,000 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี” นฤตม์กล่าว แหล่งที่มา.THE STANDARD

อ่านต่อ

เวิลด์แบงก์ คงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.4% ก่อนขยับเป็น 3%ในปี 68

NEW

ธนาคารโลก (World Bank) คงคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปี 2567 จะอยู่ที่ 2.4% เร่งตัวขึ้นจาก 1.9% ในปี 66 โดยการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก โดยได้รับการสนับสนุนจากการเร่งดำเนินการงบประมาณและการส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในปีนี้   ด้านการท่องเที่ยว จะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ในกลางปี 68 ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของดอลลาร์สหรัฐปีนี้ จะเติบโต 2.4% เนื่องจากการค้าโลกที่เอื้ออำนวยแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) จะชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 0.7% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้งนี้ ธนาคารโลก ยังคาดว่าในปี 68 เศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.0% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนที่ฟื้นตัว โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนก.ค.67 ธนาคารโลกได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.4% ส่วนปี 68 ขยายตัวได้ 2.8%   *ห่วงแจกเงินหมื่น กดดันหนี้สาธารณะ สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินหมื่นบาทให้แก่กลุ่มเปราะบาง อาจช่วยเพิ่มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ 0.5-1.0% โครงการดังกล่าวอาจช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้น แต่จะเพิ่มความกดดันต่อหนี้สาธารณะ เนื่องจากมีต้นทุนการคลังสูงถึง 450,000 ล้านบาท (2.4% ของ GDP) ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่ระดับเป้าหมาย (1-3%) ภายในสิ้นปี 2567 ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หนี้สาธารณะล่าสุดในเดือนส.ค.67 อยู่ที่ 63.5% ของ GDP ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากการคาดการณ์วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ธนาคารโลก ระบุว่า แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แต่คาดว่า GDP ของประเทศไทยจะเติบโตเร่งขึ้นเป็น 2.4% ในปีนี้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงซบเซา อัตราความยากจนคาดว่าจะลดลงเหลือ 8.2% ในปีนี้ ซึ่งสนับสนุนโดยการเติบโตที่เร่งตัวขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง แม้ว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภคอาจช่วยกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้น แต่จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อยกระดับการเติบโตในระยะยาว โดยที่ผ่านมา ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2567 เศรษฐกิจขยายตัว 2.3% สูงกว่า 1.6% ในไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส GDP เพิ่มขึ้น 0.8% (ปรับตามฤดูกาล) การเติบโตได้รับการส่งเสริมจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ผลผลิต ภาคการผลิต กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐหดตัวอย่างรวดเร็ว มีสินค้าคงคลังลดลงอย่างมาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งภายนอกและภายในประเทศ การฟื้นตัวของสินค้าที่ส่งออกจากท่าเรือยังคงล่าช้า ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ อัตราการว่างงานของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.1% โดยเศรษฐกิจมีการจ้างงานด้านการผลิตเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง และการจ้างงานด้านบริการเพิ่มขึ้น 230,000 ตำแหน่ง แม้ว่าตลาดแรงงานจะแข็งแกร่ง แต่รายได้ครัวเรือนกลับเติบโตเพียง 3% ในช่วงปี 64-66 และแม้ระดับหนี้ครัวเรือนลดลงในปี 66 แต่ยังคงสูงเกือบ 7 เท่าของครัวเรือนโดยเฉลี่ยในปี 64-63 การเติบโตของรายได้ที่ซบเซา ภาวะเงินเฟ้อสูง และความเครียดทางการเงินกดดันการบริโภคของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังโควิดอยู่ที่ 2.1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาดที่ 3.4% (2558-2562) แหล่งที่มา.ผู้จัดการออนไลน์

อ่านต่อ